ผู้ชายคริสเตียนและคลิปโป๊ (Christian Men and Pornography)

บทความเขียนโดย ศจ. คาร์ล ดาห์ลแฝรด

เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในสังคมของเรามีการแพร่หลายของหนังสือ นิยาย ภาพถ่าย ภาพยนต์ และศิลปะลามกอนาจาร แต่ในยุคที่อินเตอร์เน็ตยังไม่ครอบคลุม คนที่อยากดูสิ่งเหล่านี้ ต้องตั้งใจที่จะดูจริงๆ และต้องกล้าพอที่จะเดินไปหาซื้อที่ร้าน

แต่ปัจจุบันนี้ เราไม่จำเป็นต้องเดินไปที่ร้าน และไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นๆ จะเห็นอีกต่อไป เพราะสิ่งที่เราอยากดูทั้งหมดมีอยู่ในอินเตอร์เน็ต และส่วนใหญ่มักจะเป็นเวบไซต์ที่ให้บริการฟรี เราสามารถดูในโน็ตบุ๊กส่วนตัวของเราก็ได้ ดูในโทรศัพท์มือถือหรือแท๊บแล็ตก็ได้ ไม่มีใครรู้ว่าเราดูอะไรบนจอ เพราะเหตุนี้จำนวนคนที่ดูสื่อลามกจึงได้มีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับคนในรุ่นก่อนๆ

เมื่อผมได้ศึกษาข้อมูลในปี 2014 ผมพบสถิติมากมายที่แสดงให้เห็นว่าสื่อลามกออนไลน์เป็นปัญหาของหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ ตัวอย่างด้านล่างนี้ เป็นสถิติของวัยรุ่นชาวอเมริกันที่ดูสื่อลามกผ่านอินเตอร์เน็ต

  • 35% ของวัยรุ่นชายยอมรับว่าเขาเคยดูคลิปโป๊ในอินเตอร์เน็ตบ่อยจนนับไม่ถ้วน

  • 15% ของผู้ชายและ 9% ของผู้หญิงเคยดูสื่อลามกที่แสดงโดยเด็ก (child pornography)

  • 32% ของผู้ชายและ 18% ของผู้หญิงเคยดูคลิปคนที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์ (bestiality)

  • 39% ของผู้ชายและ 23% ของผู้หญิงเคยดูคลิปคนที่มีเพศสัมพันธ์กันโดยแสดงบทบาทสมมุติเป็นนายกับทาส (bondage)

  • 83% ของผู้ชายและ 57% ของผู้หญิงเคยดูคลิปการมีเซ็กซ์หมู่ (group sex). (แหล่งที่มาของสถิติสถิติ)

สถิติเหล่านี้อาจทำให้บางคนตกใจ แต่ในขณะเดียวกัน หลายคนบอกว่า นี่เป็นเรื่องปกติที่เกิดในสังคมปัจจุบัน และมันก็จะเริ่มเป็นเรื่องธรรมดามากยิ่งขึ้น สถิติเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่ความจริงแล้วยังมีคริสเตียนจำนวนมากที่เคยดูสื่อลามกออนไลน์ หรืออาจจะยังดูอยู่

เมื่อไม่นานมานี้ ผมคุยกับผู้รับใช้ท่านหนึ่งผ่านเฟสบุ๊ค และโดยบังเอิญผมสังเกตเห็นว่า ในรายการเพจที่เขากดไลค์ (like) มีเพจหนังโป๊และเพจที่มีผู้หญิงโชว์หน้าอกอยู่ด้วย ผมหนุนใจเขาให้กลับใจและหยุดดูสื่อแบบนี้ เพราะมันเป็นความบาปและไม่ได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า แต่ผู้รับใช้คนนี้ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่เป็นเรื่องใหญ่ และหาว่าผมไปตัดสินเขา สุดท้ายเขาได้ยกเลิกการเป็นเพื่อนกับผมในเฟสบุ๊ค (unfriend)

พระเยซูไม่เคยสอนอย่างนี้ในเรื่องพี่น้องที่ทำบาป

มีคริสเตียนหลายต่อหลายคนในปัจจุบันที่เข้าใจว่าพระเยซูสอนอย่างข้างล่างนี้ในเรื่องพี่น้องที่ทำบาป 

  • เนื่อความที่ถูกขีดออกเป็นเนื้อความที่อยู่ในพระคัมภีร์จริงที่คนมักจะละเลย
  • เนื้อความที่สีแดงเป็นความเข้าใจผิดของบางคนในปัจจุบันนี้
"15 หากพี่น้องทำบาปต่อท่าน จงไปชี้แจงแก่เขาสองต่อสองอธิษฐานเผื่อเขา ให้เขาเห็นความผิดของตน หากเขารับฟัง ท่านจะได้พี่น้องนั้นคืนมา 16 แต่ถ้าเขาไม่ยอมรับฟัง จงพาอีกสักคนสองคนไปด้วยเพื่อว่า 'ทุกคดีจะได้มีพยานยืนยันสองสามปาก'ฝากไว้กับพระเจ้า 17 หาก เขายังยืนกรานไม่ฟัง จงแจ้งแก่คริสตจักรเลิกพูดถึงเรื่องนี้เพราะพระเจ้าจะต้องเป็นผู้เปลียนเขา และหากเขายังไม่ยอมฟังแม้กระทั่งคริสตจักรพระวิญญาณก็ให้ปฏิบัติต่อเขาเสมือนเป็นคนต่างศาสนาหรือคนเก็บภาษีพี่น้องคริสเตียนธรรมดา" (มัทธิว 18:15-17)

แล้วเราละ  เราจะฟังคำสอนของพระเยซู หรือจะฟังความคิดของตัวเราเองเพราะเราไม่กล้า???

 

 

การสัมมนาพระกิตติคุณแห่งความรุ่งเรือง

สนทนาปัญหาศาสนศาสตร์ ครั้งที่ 29 การสัมมนาพระกิตติคุณแห่งความรุ่งเรือง (รุ่งเรืองหรือโลภ) ชมได้แล้วที่ https://www.youtube.com/watch?v=ML-2LkTLUnY

{youtube}ML-2LkTLUnY{/youtube}

รายการมีด้งนี้คือ

  • แนะนำวิทยากร
  • อ.นที +/- 50 นาที
  • อ.เลิศ +/- 50 นาที
  • วิทยากรทั้งสองตอบคำถามจากที่ประชุม +/- 50 นาที

 

ทำไม ผมดีใจที่ เบนนี่ ฮินน์ (Benny Hinn) มาประเทศไทย

 

เขียน: Karl Dahlfred

แปล: เลิศ ทิสยากร

ผมดีใจที่ เบนนี่ ฮินน์ได้มาเมืองไทยเมื่อปี 2012 ผมพูดจริง ๆ ผมดีใจ เขาเป็นอาจารย์และผู้เผยพระวจนะเท็จที่คงจะได้จบชีวิตลงด้วยคำพิพากษาที่มีโม่หินพันธนาการรอบคอของเขา แต่ผมก็ดีใจที่เขามา เพราะเขาได้ทำให้คำสอน ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง เป็นที่ประจักษ์ขึ้นในหมู่คริสตจักรไทย

คำสอน ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง ได้เข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลาหลาย ๆ ปีแล้วก่อนที่ เบนนี่ ฮินน์ จะมาเยือนเมืองไทย แต่ก็ไม่ได้สร้างปัญหาอะไรศิษยาภิบาลต่าง ๆ ทั้งที่มาจากต่างประเทศและคริสตจักรในประเทศเอง ได้จัดประกาศใหญ่โตมโหฬาร ให้คำมั่นสัญญาที่เกินความจริงไปมาก และมักจะให้ความหวังผิด ๆ โดยที่ขณะเดียวกันก็หลอกเอาทั้งเงินทองและ / หรือความหวังของสมาชิกไปหมดสิ้น บางคริสตจักรก็เลียนแบบและทำตามกัน และบางคริสตจักรก็ไม่ แต่คนไทยโดยทั่วไปก็มีนิสัยสุภาพอ่อนโยนและไม่ชอบที่จะสร้างปัญหา ชุมชนคริสเตียนในประเทศไทยมีขนาดเล็กต่างคนต่างก็รู้จักซึ่งกันและกัน และการผนึกกำลังกันไว้ให้เหนียวแน่น ก็ดูจะมีความสำคัญมากกว่าการมีปัญหากันท่ามกลางคนไทยส่วนใหญ่ที่เป็นชาวพุทธ ดังนั้น ในขณะที่นักเทศน์ ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง และบรรดาอาจารย์ที่แต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นศาสดาพยากรณ์ได้มาแล้วก็ไป ก็ไม่มีใครเคยออกมาพูดอะไรเกี่ยวกับคำสอนเทียมเท็จเหล่านี้ แม้ว่าจะมีการทำกิจกรรมคริสตจักรที่เผยแพร่คำสอนเท็จออกไปอย่างกว้างขวางอย่างไม่หยุดไม่หย่อนก็ตาม จนได้เข้าไประบาดกันในคริสตจักรใหญ่ ๆ หลาย ๆ แห่งผ่านกิจกรรมการประกาศ "ฟื้นฟู" ขนาดใหญ่ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจ หนังสือแปลต่าง ๆ และบนวิดีโอ YouTube

ทำไม ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง จึงเป็นแชร์ลูกโซ่ที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่เคยมีมา

บทความนี้ถูกแปลจาก Why the Prosperity Gospel Is the Worst Pyramid Scheme Ever เขียนโดย Nicholas MacDonald

ผมมีคำสารภาพ

เมื่อผมเรียนอยู่ชั้นมัธยม ผมได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนโดยศิษยาภิบาลคริสตจักรใหญ่แห่งหนึ่ง ผู้เขียนสอนให้ผมใช้ชีวิตเหมือนเด็กในพระคริสต์ เขาบอกผมว่าพระเจ้าต้องการที่จะอวยพรผม นอกจากนี้ เขายังบอกผมว่า ถ้าเพียงว่าผมเชื่อเท่านั้น พระเจ้าจะให้บ้านที่สวยงามที่สุดกับผมในละแวกบ้านที่ผมอยู่ ฟังดูก็น่าจะเป็นไปได้

ผู้เขียนอธิบายว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยต้องการบ้านที่ดีที่สุดในละแวกบ้านใกล้เคียงของเขา และพระเจ้าได้ให้กับเขา นี่เป็นคนที่พูดโดยมีหลักฐานประกอบด้วย ไม่เพียงเขามีเรื่องเล่าเกี่ยวกับบ้านเท่านั้น เขาได้เล่าอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ฟังอีก และยังมีชุดฟันเงางามเต็มปากอีกหนึ่งชุดด้วย (โอ้ ช่างขาวอร่ามงามตาอะไรเช่นนั้น ผมคิดในใจ)

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เรียนรู้ในสิ่งเรียกกันว่า "ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง" หรือ "ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรืองในสุขภาพและความร่ำรวย" เป็นครั้งแรก ในเวลานั้น ผมฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี: "ถ้ามันเกิดขึ้นกับเขาได้ แล้วทำไมมันจึงจะเกิดขึ้นกับตัวผมเองไม่ได้เล่า"

ถ้าเพียงแต่ผมได้ขุดลงไปดูลึกอีกหน่อย ผมก็คงจะได้เห็นเหตุผลที่แท้จริงว่า ทำไมมันจึงเกิดขึ้นกับเขาได้และเกิดกับตัวผมเองไม่ได้ เพราะว่า "ข่าวประเสริฐแห่งความเจริญรุ่งเรือง" นั้น แท้จริงมันเป็นแชร์ลูกโซ่

แล้วแชร์ลูกโซ่มันเป็นอะไรหรือ

หนังสือ ซูเปอร์อัครสาวกของพระเจ้า (God's Super-Apostles)

บทความนี้ถูกแปลจาก "God's Super-Apostles" โดย Tim Challies
บทความนี้ถูกแปลและโปสต์โดยรับอนุญาตจากผู้เชียน

จริง ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหนังสือเล่มนี้ มันมาอยู่ที่หน้าบ้านผมเอง และจากการแค่มองผ่านตาไปเพียงแวบเดียว กลายเป็นได้ต้องอ่านหนังสือหมดไปทั้งเล่ม เช่นเดียวกับนักอ่านหนังสือทั่วไปที่มองหาการเรียนรู้สิ่งใหม่ที่น่าสนใจ ผมก็ได้มีประสบการณ์ในลักษณะเช่นเดียวกัน

มีการเคลื่อนไหวทางคริสตจักรใหม่ที่กำลังมีบทบาท และได้ดึงดูดคริสเตียนเข้าเชื่อมากขึ้นทุกวัน เช่นเดียวกับคำสอนอีกมากมายก่อนหน้านี้ มันได้เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและแพร่กระจายไปทั่วโลก ผมได้เห็นความจริงของมันหลายอย่างที่นี่ในแคนาดา มันเรียกว่าลัทธิการปฏิรูปอัครสาวกใหม่ (New Apostolic Reformation หรือ NAR) ซึ่งเป็นเรื่องซูเปอร์อัครสาวกของพระเจ้า ที่ได้รับการกล่าวขานมามากพอสมควร

นาร์ (NAR) เป็นการเคลื่อนไหวที่สอนเรื่องการกลับคืนมาของbuy from amazon.2. V192207737 อัครสาวกและผู้พยากรณ์ในคริสตจักร คริสเตียนเชื่อว่า “พระเจ้าต้องการให้อัครสาวกและผู้พยากรณ์เป็นผู้ปกครองคริสตจักร ไม่เพียงแค่ในคริสตจักรยุคต้นเท่านั้น แต่คริสตจักรในทุกยุกทุกสมัย แต่คริสตจักรไม่ได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องมาโดยตลอด” แต่กลับให้ศิษยาภิบาลและผู้ปกครองกระทำแทน ที่ต้องตั้งชื่อว่า การปฏิรูปอัครสาวกใหม่หรือนาร์ ก็เพราะเป็นการคืนอำนาจอัครสาวกและผู้พยากรณ์ให้คริสตจักร และเป็นการปฏิรูปเพราะว่า มันเหมือนการปฏิรูปโปรเตสแตนต์ก่อนหน้า ที่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงคริสตจักร

Donation Address

OMF International
10 W. Dry Creek Circle
Littleton, CO 80120

With your check, please include a note indicating support for "Karl & Sun Dahlfred"
You may also give online.