ความเชื่อในผีสางวิญญาณและการอธิษฐานรับเชื่อ (Animism and the Sinner's Prayer)

Written by Karl Dahlfred on .

ทุก ๆ ปี ผู้เชื่อคริสเตียนและมิชชันนารีในเมืองไทยได้นำคนอธิษฐานรับเชื่อเพื่อที่จะช่วยพวกเขาให้มาเป็นคริสเตียน แต่ผู้เชื่อใหม่เหล่านี้บางคนไม่เคยมาคริสตจักรเลย หรือบางคนมาคริสตจักรในช่วงแรก ๆ จากนั้นก็หายไป ก่อนรับบัพติศมา มีหลายคนบัพติศไป และไม่กลับมาเลย อะไรเป็นสาเหตุของสิ่งเหล่านี้?

เมื่อ 200 ปีที่แล้ว วิธีการเรียกคนออกมาหน้าที่ประชุมเพื่อประกาศความเชื่อใหม่ในพระคริสต์ถูกคิดค้นขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา นับแต่นั้นมา คนจำนวนมากในหลายประเทศทั่วโลกได้อธิษฐานรับเชื่อพระเยซูคริสต์ แต่กลับไม่สำแดงผลแห่งพระวิญญาณในการดำเนินชีวิต เพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น? แน่นอนว่ามีหลากหลายสาเหตุ แต่ในประเทศนั้นสาเหตุสำคัญประการหนี่งก็คือ ภูมิหลังของคนที่อธิษฐานรับเชื่อ พวกเขามีโลกทัศน์ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในผีสางวิญญาณ (Animism) และจึงแปลความหมายของการรับเชื่อโดยใช้โลกทัศน์ดังกล่าวนั้น

ในขณะที่การอธิษฐานรับเชื่อถูกคิดค้นขึ้นเพื่อช่วยนำคนมาเป็นคริสเตียน แต่ในประเทศไทย (เช่นเดียวกับหลาย ๆ ประเทศ) การอธิษฐานรับเชื่อกลับมีผลในทางตรงข้ามที่ไปยืนยันโลกทัศน์ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในผีสางวิญญาณ กล่าวถึงที่สุด ความเชื่อในผีสางวิญญาณคือการใช้พิธีกรรมและพิธีทางศาสนาเป็นฉากหน้าในการโน้มน้าวควบคุมให้โลกฝ่ายวิญญาณทำตามสิ่งที่ผู้เชื่อในผีสางวิญญาณประสงค์ให้กระทำ ไม่ว่าจะเป็นการปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือการรับพรอันประเสริฐ พุทธศาสนาแบบไทย ๆ มีส่วนผสมของพุทธศาสนาแท้ ๆ และความเชื่อในผีสางวิญญาณ ทั้งในเรื่องดวงวิญญาณ โชคลาง พระธาตุ/อัฐิ วัตถุมงคล การดูดวง โหราศาสตร์ เวทมนตร์คาถา เป็นต้น การผสมผสานกันระหว่างความเชื่อในผีสางวิญญาณและพุทธศาสนาดังกล่าวนี้เป็นส่วนสำคัญของโลกทัศน์และระบบความเชื่อของคนไทยส่วนใหญ่ และความเข้าใจเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณในแบบนี้เองที่คนไทยนำติดตัวมาด้วยเมื่อพวกเขาเข้าร่วมการชุมนุมคริสเตียนหรือได้ยินการประกาศข่าวประเสริฐ

ความเชื่อในผีสางวิญญาณไม่ใช่ “ศาสนาที่ใช้หัวใจ” (heart religion) ที่เรียกร้องให้ท่านจะต้องเชื่ออะไรบางอย่างจากเบื้องลึกของความเป็นมนุษย์ ความเชื่อในผีสางวิญญาณไม่ใช่เรื่องของการอุทิศตนหรือความรักที่ท่านมีต่อเทพเจ้าหรือวิญญาณองค์หนึ่งองค์ใด ความเชื่อในผีสางวิญญาณไม่ใช่เรื่องของการนำชีวิตของท่านไปอยู่ภายใต้หลักศีลธรรมที่ประทานมาจากสวรรค์เบื้องบน ความเชื่อในผีสางวิญญาณไม่ได้เรียกร้องให้ท่านจะต้องเปลี่ยนแปลงชีวิตหรือกลับใจจากบาปของท่าน แต่สิ่งที่มันเรียกร้องจากท่านก็คือ การกระทำพิธีกรรมทางศาสนาบางอย่างเพื่อผลักดันให้ดวงวิญญาณที่มีฤทธิ์เดชให้พรอันประเสริฐแก่ท่านตามที่ร้องขอ กล่าวคือ ความเชื่อในผีสางวิญญาณเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ภายนอกที่ท่านกระทำเพื่อที่จะได้รับสิ่งที่ท่านปรารถนา

แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงจากการเห็นแก่ตัวเองมาอุทิศตนต่อพระเจ้า ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงการจัดลำดับความสำคัญในชีวิต จากเดิมที่เราจัดลำดับเองว่าอะไรสำคัญไปสู่การยอมทำสิ่งที่สำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้า ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องของแผนงานของพระเจ้าสำหรับเราว่าชีวิตเราควรจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เรื่องของการใช้พิธีทางศาสนามาโน้มน้าวควบคุมพระเจ้าให้ทรงช่วยเราให้มีชีวิตที่เป็นสุขในแบบที่เรากำหนดนิยามเอง ความเชื่อในผีสางวิญญาณนั้นโดยแก่นแท้แล้วเน้นการปฏิบัติและเน้นประโยชน์และความพึงพอใจส่วนตัว กล่าวคือ ฉันจะยอมทำทุกสิ่งที่จะช่วยฉันให้มีชีวิตที่ดีในแบบที่ฉันกำหนดนิยามเอง

 

เมื่อคนไทยได้รับเชิญให้อธิษฐานรับเชื่อ

แล้วบรรดาคนที่มีภูมิหลังโลกทัศน์มาจากความเชื่อในผีสางวิญญาณมีความเข้าใจอย่างไรต่อการได้รับเชิญให้อธิษฐานรับเชื่อ? ทำไมการอธิษฐานรับเชื่อตามที่ปฏิบัติกันทั่วไปจึงล้มเหลวในการสร้างความเข้าใจแก่คนจำนวนมากเกี่ยวกับการรับเชื่อและการเปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณอย่างแท้จริง?

 

1) การอธิษฐานรับเชื่อเป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนาอีกแบบหนึ่งที่อาจช่วยท่านให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา

สำหรับคนจำนวนมากที่ได้รับเชิญให้อธิษฐานรับเชื่อ ผมเชื่อว่าการให้เหตุผลของพวกเขาส่วนมากจะเป็นไปในลักษณะประมาณนี้ว่า: “ตอนนั้นที่ฉันไปหาร่างทรงมันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาชีวิตฉันเลย และนักโหราศาสตร์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเท่าไหร่เหมือนกัน ฉันพยายามพกพาพระธาตุ/อัฐิศักดิ์สิทธิ์ที่คุณป้าของฉันให้มาแต่ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ไปสักยันต์ก็คงจะแพงไป บางทีพิธีกรรคริสเตียนแบบนี้อาจช่วยฉันได้ มีอะไรเสียหายตรงไหน? ทำไมไม่ลองกล่าวบทอธิษฐานที่ว่านี้ที่อาจารย์คริสเตียนดูจะกระตือรือร้นให้ฉันกล่าวตามเสียเหลือเกิน? อาจจะมีอะไรบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับศาสนาต่างชาติอันนี้ก็ได้ ฉันจะลองนับถือศาสนาเยซูต่างชาติอันนี้สักพักและดูว่า
จะมีฤทธิ์อำนาจอัศจรรย์อะไรตามที่พวกคริสเตียนกล่าวอ้างจริงรึเปล่า ถ้ามันเวิร์คจริงก็เยี่ยมไปเลย แต่ถ้ามันไม่เวิร์ค ฉันก็แค่หยุดและลองหาศาสนาอื่นต่อไป แม้ไม่ได้อะไรแต่ก็ไม่เสียหายตรงไหน”

 

2) บทอธิษฐานรับเชื่อถูกมองว่าเป็นคาถาวิเศษ

ตามความเชื่อในผีสางวิญญาณ มันไม่ได้สำคัญว่าจะต้องเข้าใจความหมายของคำที่ถูกกล่าวในการอธิษฐานหรือคาถา เพราะว่าพลังของการอธิษฐานอยู่ที่ความศักดิ์สิทธิ์ของคำที่ถูกกล่าวโดยตัวมันเอง ไม่ได้อยู่ที่ความเข้าใจในคำเหล่านั้นแต่อย่างใด บทสวดมนต์ที่วัดของชาวพุทธเป็นภาษาบาลีโบราณซึ่งปุถุชนทั่วไปไม่เข้าใจความหมาย อย่างไรก็ตาม ตราบเท่าที่พวกเขาได้ยินพระสงฆ์สวดหรือกล่าวบทสวดมนต์เหล่านั้นด้วยตนเองก็ถือว่าได้บุญ ดังนั้น เมื่อคนทั่วไปได้รับเชิญให้อธิษฐานรับเชื่อ พวกเขามีแนวโน้มอย่างมากที่จะเชื่อว่าถ้อยคำแต่ละคำในบทอธิษฐานรับเชื่อนั้นเป็นคาถาวิเศษที่มีฤทธิ์อำนาจในการนำพรอันประเสริฐมาสู่ชีวิต ความหมายของแต่ละถ้อยคำเป็นเรื่องรองและไม่สลักสำคัญอะไร การได้สวดพอเป็นพิธีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว

 

3) ผู้ที่ได้ยินบทอธิษฐานรับเชื่อให้ความหมายใหม่โดยอัตโนมัติแก่ถ้อยคำที่ได้ยิน เพื่อปรับให้เข้ากับโลกทัศน์ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในผีสางวิญญาณ

นักประกาศชาวคริสเตียนใช้คำศัพท์อย่าง “พระเจ้า”, “บาป”, “สวรรค์”, “นรก”, “ชีวิตนิรันดร์” และ “อธิษฐานรับเชื่อ” ภายใต้สมมติฐานที่ว่าผู้ที่ได้ยินจะเข้าใจถ้อยคำเหล่านั้นในความหมายเดียวกับที่คริสเตียนเข้าใจ แต่เมื่อผู้ฟังมีภูมิหลังโลกทัศน์และความเชื่อที่แตกต่างอย่างสุดขั้วจากคริสเตียน สมมติฐานดังกล่าวย่อมมีปัญหา แม้ว่าในมุมมองของนักประกาศ ถ้อยคำต่าง ๆ ในบทอธิษฐานรับเชื่อแสดงถึงการยอมอุทิศตนต่อพระคริสต์ คนไทยจำนวนมากกลับได้ยินและตีความคำเหล่านั้นโดยมุมมองที่ถูกปลูกฝังมาจากที่บ้าน โรงเรียน และวัดของชาวพุทธ ระบบคิดของพวกเขาเป็นไปในลักษณะที่ว่า: “อาจจะมีเทพเจ้าสักองค์อยู่ที่ไหนสักแห่ง และบางทีพระองค์อาจช่วยฉันได้ ใช่สิ ฉันเป็นคนบาป ใครไม่เป็นบ้างล่ะ? ฉันอยากไปสวรรค์ (ไม่ว่าจะเป็นสวรรค์มีอยู่จริงหรือเป็นแค่ชีวิตที่มีความสุขบนโลกใบนี้ก็ตาม) ฉันไม่อยากตกนรกหากว่ามันมีจริง อย่างน้อยที่สุดพระเยซูก็สามารถช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานในชีวิตฉันได้ ซึ่งเป็นเหมือนนรกบนดินนี่เอง ฉันสามารถต้อนรับพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากปัญหาและความยากลำบากในชีวิตของฉัน ฉันเคยร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ให้ช่วยฉันมาแล้วทำไมจะไม่ลองศาสนาคริสต์บ้างล่ะ?” การประกาศข่าวประเสริฐที่ไม่ได้ใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจและอธิบายความหมายเบื้องหลังของคำศัพท์คริสเตียนประหลาด ๆ ข้างต้น ถือเป็นการประกาศที่ล้มเหลวในการสื่อสารข่าวประเสริฐ การประกาศข่าวประเสริฐในลักษณะนี้ปล่อยให้ความเข้าใจผิดที่มีต่อข่าวประเสริฐดำรงอยู่ต่อไป และการรับเชื่อที่เกิดขึ้นก็เป็นอะไรที่ฉาบฉวย

ผมมั่นใจว่าคริสเตียนส่วนใหญ่ที่นำคนมาอธิษฐานรับเชื่อนั้นพยายามช่วยเหลือคนเหล่านั้นอย่างจริงใจ แต่การนำคนรับเชื่อไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดหากพวกเขาไม่ได้เข้าใจข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง มันจะต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะทำให้คนที่มาจากภูมิหลังที่ไม่ใช่คริสเตียนเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของข่าวประเสริฐและนำพวกเขาไปถึงจุดที่สามารถเชื่อวางใจในพระคริสต์อย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาอาจผงกหัวและพูดว่า “ครับ ๆ” หรือ “ค่ะ” พวกเขาอาจไม่ได้เข้าใจข่าวประเสริฐจริง ๆ หากเป็นการได้ยินข่าวประเสริฐเป็นครั้งแรก ดังนั้น คริสเตียนจะต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งในการช่วยผู้คนให้เข้าใจข่าวประเสริฐอย่างแท้จริงเสียก่อน เราจะต้องปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงจิตใจของคน ๆ หนึ่งในเวลาของพระองค์ เราจำเป็นต้องคอยสังเกตว่าพระเจ้าทรงทำงานในหัวใจและจิตใจของคน ๆ หนึ่งอย่างไร และไม่เร่งรัดเพื่อพยายามนำคนอธิษฐานรับเชื่อเพื่อต้อนรับพระคริสต์

เราไม่ได้รับความรอดด้วยปริมาณความรู้ที่เรามี อย่างไรก็ตาม คน ๆ หนึ่งจำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า โลก และตนเองในระดับที่เหมาะสมเพื่อที่เขาจะวางใจในพระคริสต์ได้อย่างแท้จริง มันมักจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนที่มีโลกทัศน์ที่มีพื้นฐานมาจากความเชื่อในผีสางวิญญาณที่จะตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วว่าจะอุทิศชีวิตต่อพระคริสต์หลังจากได้ยินการประกาศข่าวประเสริฐแบบสั้น ๆ ผมอยากหนุนใจให้เราที่จะดูแลเอาใจใส่คนเหล่านั้นและไม่เร่งรัดให้เขาตัดสินใจรับเชื่อ

ขอให้เราที่จะวางใจในพระวิญญาณบริสุทธิ์และแบ่งปันเรื่องราวในพระคัมภีร์กับผู้คนด้วยความเชื่อ หากเราแสดงความรักต่อผู้คนอย่างจริงใจและปล่อยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงาน พระเจ้าจะทรงนำคนเหล่านั้นมารู้จักกับพระเยซูในเวลาที่เหมาะสม ขอให้เราวางใจในพระดำรัสของพระเยซูต่อเหล่าสาวกที่ว่า “คนทั้งปวงที่พระบิดาประทานแก่เราจะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา
เราก็จะไม่มีวันขับไล่เขาไป” (ยอห์น 6:37 ฉบับอมตธรรมร่วมสมัย)

 

Submit to FacebookSubmit to TwitterSubmit to LinkedIn